ทำยังไงให้ลูกค้าอยากแย่งกันซื้อ! ความสำเร็จในการทำธุรกิจแบบ Personalized สำนักพิมพ์ Lost My Name
กรณีศึกษาธุรกิจหนังสือนิทาน
ราคาหลักพัน + ที่ขายไปแล้วกว่า 3 ล้านเล่ม!
เคยสงสัยมั้ยว่าธุรกิจอะไรที่สามารถอัพราคาได้เป็น 10 เท่า ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ลูกค้ารอนานแค่ไหน แพงกว่าที่อื่นยังไง หรือแม้กระทั่งยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ลูกค้าทุกคนก็ตั้งตารอ และไม่รู้สึกติดใจในเรื่องราคาแต่อย่างใด คุณสามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
อะไรก็ตามที่เป็นของเรานับว่าเป็นสิ่งที่พิเศษแล้ว แต่จะยิ่งพิเศษกว่านั้นถ้าสิ่ง ๆ นั้นเป็นของ ๆ เราและที่มีชิ้นเดียวในโลก! ธุรกิจ Personalized หรือธุรกิจที่ผลิตสินค้าที่มีชิ้นเดียวในโลก เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด หรือความเป็นตัวเองเข้าไปในของที่เป็นของเรา เพื่อระบุอัตลักษณ์บุคคล ธุรกิจแบบนี้นี่แหละที่สามารถอัพราคาได้โดยที่ลูกค้าไม่บ่น ลองมาดูกรณีศึกษาการทำธุรกิจแบบ Personalized ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย
สำนักพิมพ์ Lost My Name สำนักพิมพ์สตาร์ทอัพที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้สร้างหนังสือนิทานแบบ Personalized ที่สร้างยอดขายไปแล้วเกือบ 3 ล้านเล่ม เท่านั้นไม่พอ ยังสามารถอัพราคาหนังสือนิทานเล่มนึงให้มีราคาสูงถึง 30 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,000 บาทไทย ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากเลยทีเดียว
ความพิเศษของนิทานเรื่องนี้
หนังสือเล่มนี้ถูกออกแบบมาสำหรับเด็กแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยมีการใช้อัลกอริทึมในการตามหาว่าเด็กแต่ละคนมีบุคลิกหรือลักษณะแบบไหน แล้วนำมาใส่ในหนังสือนิทาน โดยในบทความนี้เราจะพูดถึงนิทานเรื่อง The Little Boy/Girl Who Lost His/Her Name ข้างในหนังสือจะมีการเล่าเรื่องโดยพยายามทำให้เป็นหนังสือนิทานเล่มเดียวในโลก ซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการตามหาตัวอักษร ที่สุดท้ายแล้วจะมาประกอบกันเป็นชื่อของเจ้าของหนังสือนิทานเล่มนั้น เป็นการสร้างความรู้สึกเซอร์ไพร์ซให้กับเด็กน้อยที่พบว่ามีชื่อตัวเองอยู่ในหนังสือ
หน้าแรกของหนังสือเล่มนี้ยังสามารถเขียนสิ่งที่อยากบอกกับคนที่จะได้รับ เช่น คุณพ่อคุณแม่ที่จะซื้อนิทานเล่มนี้ให้ลูกก็สามารถเขียนชื่อลูก เขียนความรู้สึกที่มีต่อลูกลงไปได้ นอกจากนั้นยังสามารถออกแบบตัวละครในเรื่องได้ เช่น จะให้ตัวละครที่เป็นลูกของเราหน้าตาเป็นแบบไหน ชื่ออะไร เพศอะไร หลังจากนั้นก็จะมีการประมวลผลและให้เราดูตัวอย่างหนังสือว่ารูปแบบที่ออกมาจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ เราโอเคมั้ย เราก็ทำการตรวจทานให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็สั่งพิมพ์ และรอประมาณ 1 เดือน
ทำยังไงให้คนอยากซื้อซ้ำ?
สำนักพิมพ์นี้ไม่ได้ทำหนังสือตามหาตัวอักษรในชื่อเพียงอย่างเดียว ยังมีการทำหนังสือเป็นช่วงชีวิตของคน นั่นแปลว่าลูกค้าเดิม ๆ ก็อยากเข้าไปซื้ออีกเพราะเหมือนเป็นการเก็บโมเมนต์ในแต่ละช่วงชีวิตเอาไว้ เช่น ไปโรงเรียนครั้งแรก วันเกิดตัวเอง วันสำคัญต่าง ๆ เติบโตไปเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลาที่เค้าอยากบันทึกไว้ เป็นความงดงามของธุรกิจที่สร้าง Loyalty Program หรือสร้างอัตราการซื้อซ้ำโดยการทำให้คนรู้สึกผูกพันกับแบรนด์
ความสำเร็จในการทำธุรกิจแบบ Personalized
เพียงแค่นิทานเรื่อง The Little Boy/Girl Who Lost His/Her Name ซีรีส์เดียวก็ขายได้เกือบ 3 ล้านชิ้นแล้ว และยังมีอีกเป็นสิบ ๆ ซีรีส์ โดยล่าสุด Google ก็ได้เข้าไปร่วมทุนกับสำนักพิมพ์นี้เนื่องจากมีการจับอัลกอริธึมความสนใจของแต่ละคนมาใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและไม่มีใครทำมาก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขายดีในทุก ๆ วัน แต่ยอดขายก็ถล่มทลายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในวันสำคัญ ๆ ของคนทั่วโลก หากใครอยากเห็นภาพมากขึ้นลองเข้าไปดูที่ https://www.wonderbly.com/personalized-products/lost-my-name-book จะพบกับความน่ารัก น่าตื่นเต้นของหนังสือนิทานเล่มนี้
สินค้าแบบ Personalized เป็นสินค้าที่วันนึงถ้าเราต้องโละของออกจากบ้าน เราจะเลือกเก็บสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ในบ้าน นั่นแสดงว่า สิ่งที่คนจะเก็บเอาไว้ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและให้ประสบการณ์ที่ดีกับเค้า นี่แหละคือหัวใจของการทำของแบบ Personalized ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใครบางคนโดยเฉพาะ
ลองดูว่าถ้าจะผลิตสินค้าชนิดนึงที่มีราคาตั้งแต่ไม่กี่บาท อย่างหนังสือนิทานที่มีตั้งแต่ราคาเล่มละ 20 บาทไปจนถึง 200 บาท แต่เรานำมาเพิ่มมูลค่าโดยการทำ Personalized ที่ทำให้สามารถขายได้เล่มนึงถึง 1,000 บาท และคนก็ยังรอได้ ไม่เกี่ยงราคา ไม่บ่นแถมยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีแบบนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้วเอาไปบอกต่อกันเองนั้นทรงพลังแค่ไหน
เชื่อว่าทุกคนก็อยากมีอะไรที่เป็นชิ้นเดียวในโลก อยากได้ของขวัญที่พิเศษและงดงามแบบนี้ ดังนั้นสิ่งที่ลูกค้าได้รับมันมากกว่าตัวสินค้า นั่นก็คือประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้คนผูกพันกับแบรนด์ ลองเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณดูนะคะ